Medical Blog

การเก็บสเต็มเซลล์คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

ความหมายของการเก็บสเต็มเซลล์

ความหมายของการเก็บสเต็มเซลล์  

การเก็บสเต็มเซลล์คือ การจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากแหล่งที่ต้องการ เพื่อเก็บไว้เป็นหลักประกันทางสุขภาพ และนำมาใช้ประโยชน์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเก็บ Stem Cell เพื่อใช้ฟื้นฟูและรักษาโรคร้ายให้กับลูกน้อย เพื่อใช้ฟื้นฟูความเสื่อมของร่างกายให้กับทุกคนในครอบครัว หรือนำไปใช้ในเรื่องของผิวพรรณและความงาม ก็สามารถทำได้ หากได้รับการดูแล จัดเก็บ และดำเนินการในทุกขั้นตอนโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งในปัจจุบันการเก็บสเต็มเซลล์คือหนึ่งในทางเลือกทางการแพทย์เพื่อใช้รักษาและฟื้นฟูสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

เนื่องจากสเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่มีความสามารถแบ่งตัวได้อยู่เสมออย่างไม่จำกัด โดยสามารถพัฒนาเป็นเซลล์อื่น ๆ ได้ เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือด เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์กระดูก และเซลล์ไขมันได้ตามแหล่งต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีหน้าที่ในการสร้างเซลล์ใหม่เพื่อมาทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพหรือถูกทำลาย เนื่องจากสเต็มเซลล์นั้นมีกลไกที่จะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองให้พัฒนาเป็นเซลล์ต่าง ๆ เพื่อเข้าไปทดแทนที่เซลล์ที่สูญเสียไปให้กลับมาทำหน้าที่ภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นั่นจึงทำให้การเก็บสเต็มเซลล์ ได้ถูกวิจัยและพัฒนาโดยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก เพื่อนำมาใช้ฟื้นฟูและรักษาโรคร้ายให้กับลูกน้อยและทุกคนในครอบครัว รวมถึงในเรื่องของผิวพรรณและความงาม ซึ่งได้มีการศึกษาและค้นพบว่าการเก็บสเต็มเซลล์ลูกสามารถนำไปใช้เพื่อฟื้นฟูและรักษา 85 โรคร้ายแรงได้ในปัจจุบัน ได้แก่ กลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดทุกชนิด กลุ่มโรคไขกระดูกผิดปกติ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง โรคจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญอาหาร รวมไปถึงยังสามารถฟื้นฟูสุขภาพจากความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้อีกด้วย

และด้วยวิทยาการและความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้ในการเก็บสเต็มเซลล์นั้นจะสามารถดำเนินการได้อย่างปลอดภัยหากเลือกเก็บกับธนาคารสเต็มเซลล์ที่มีมาตรฐานและได้รับการรับรองในระดับสากล

สเต็มเซลล์ฟื้นฟูร่างกาย

ความสำคัญของการเก็บสเต็มเซลล์  

สเต็มเซลล์เป็นเซลล์ที่มีความมหัศจรรย์ในการนำไปใช้ฟื้นฟูและรักษาโรคร้ายในอนาคต เนื่องจากโรคบางชนิด ไม่อาจสามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิธีการทางการแพทย์ ทำให้มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อฟื้นฟูและรักษาโรคเหล่านั้น 

เพราะสเต็มเซลล์จะทำหน้าที่ในการเข้าไปทดแทนเซลล์ภายในร่างกายที่สูญเสียหรือถูกทำลายจากอาการเจ็บป่วย หรืออาการบาดเจ็บต่าง ๆ รวมถึงการที่เซลล์ถูกทำลายที่เป็นผลกระทบมาจากการรักษาโรคร้าย เช่น การฉายแสง ให้เซลล์เหล่านั้นสามารถกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในการนำสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อฟื้นฟูโรคนั้นไม่ใช่ว่าจะนำเซลล์ของใครมาใช้กับร่างกายของเราก็ได้ เพราะสเต็มเซลล์ที่นำมาใช้นั้นจะต้องมีเนื้อเยื่อที่เข้ากันกับร่างกายของผู้รับสเต็มเซลล์ ซึ่งโอกาสในการค้นพบสเต็มเซลล์ที่เนื้อเยื่อเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับผู้บริจาคทั่วไปมีเพียง 1 ใน 50,000 – 100,000 คนเท่านั้น นั่นจึงทำให้ทุกท่านควรเลือกเก็บสเต็มเซลล์ลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอด เพื่อนำไปใช้กับตัวลูกน้อยเอง และยังสามารถนำมาใช้ฟื้นฟูโรคและความเสื่อมบางประเภทให้กับทุกคนในครอบครัว และที่สำคัญคือสเต็มเซลล์ที่จัดเก็บกับลูกน้อย ยังมีโอกาสสูงถึง 1 ใน 4 ที่เซลล์จะสามารถเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับพี่น้องได้อีกด้วย

นั่นจึงทำให้การเก็บสเต็มเซลล์คือการจัดเก็บเซลล์แห่งความหวัง เพื่อเป็นหลักประกันทางสุขภาพสำหรับลูกน้อย ตัวคุณเอง และทุกคนในครอบครัว เพราะสามารถนำมาใช้ฟื้นฟูโรคร้ายต่าง ๆ ได้ในอนาคตหากมีอาการเจ็บป่วย มีอาการบาดเจ็บ หรือเป็นโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาได้นั่นเอง

ประเภทของสเต็มเซลล์ (Stem Cell) 

การเก็บสเต็มเซลล์นั้นจะต้องมีการวางแผน ดูแล และดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากสเต็มเซลล์นั้นมีหลากหลายประเภท หลากหลายแหล่งต้นกำเนิด และมีความสามารถในการนำไปใช้ในการฟื้นฟูและรักษาโรคที่แตกต่างกันไป วันนี้เราจึงจะมาอธิบายถึงประเภทของ Stem Cell ในรูปแบบต่าง ๆ ก่อนที่จะพาทุกท่านไปรู้จักกับประโยชน์ของการเก็บ Stem Cell ในบริเวณแหล่งต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน

โดยประเภทของ Stem Cell จะสามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบ ดังนี้

ประเภทของสเต็มเซลล์ แบ่งตาม ‘ระยะของความสามารถในการเจริญพัฒนา’

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) นั้นสามารถแบ่งตามระยะของความสามารถในการเจริญเติบโตหรือพัฒนาได้เป็น 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้

Totipotent Stem Cellเป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่าง ๆ ในบริเวณรก สายสะดือ และตัวของเด็กที่มีอวัยวะครบสมบูรณ์
Pluripotent Stem Cellเป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่สามารถพัฒนาไปเป็นส่วนของตัวเด็กและอวัยวะต่าง ๆ ภายในตัวเด็กได้ ซึ่งจะสามารถแยก Pluripotent Stem Cell นี้ได้จาก Inner Cell Mass ในเซลล์ของตัวอ่อนระยะบลาสโตซิสต์ (Blastocyst)
Multipotent Stem Cellเป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่สามารถพัฒนาไปเป็นส่วนของเนื้อเยื่อที่จำกัด
Unipotent Stem Cellเป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่สามารถพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อที่จำเพาะแค่เพียงชนิดเดียว

ประเภทของสเต็มเซลล์ แบ่งตาม ‘ความแตกต่างในการจัดเก็บ’

ในส่วนของ Stem Cell ที่แบ่งตามความแตกต่างในการจัดเก็บนั้น จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบตามเนื้อเยื่อหรือเซลล์ในการจัดเก็บที่แตกต่างกัน คือ

Embryonic Stem CellAdult Stem Cell
เป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่จะทำการเก็บสเต็มเซลล์ได้จาก ‘ตัวอ่อน’ ของมนุษย์ ซึ่ง Embryonic Stem Cell นี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้เกือบทุกชนิดยกเว้นเซลล์จากรก เช่น 
– เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ 
– เซลล์ไขกระดูก 
– เซลล์เม็ดเลือด ฯลฯ
เป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่จะทำการเก็บสเต็มเซลล์ได้จาก ‘สิ่งมีชีวิตหรือเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย’ ซึ่ง Adult Stem Cell นี้จะมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปเป็นเซลล์จำเพาะในเนื้อเยื่อนั้น ๆ หรือก็คือ ถ้าเราทำการเก็บ Stem Cell กับเนื้อเยื่อในส่วนใด เซลล์ก็จะเติบโตและพัฒนาไปเป็นเนื้อเยื่อชนิดนั้น ๆ เช่น 
– สเต็มเซลล์ที่จัดเก็บจากตับอ่อน จะพัฒนาและเจริญเติบโตกลายเป็นเซลล์ตับอ่อนได้
– สเต็มเซลล์ที่จัดเก็บจากเลือด จะสามารถพัฒนาเปลี่ยนแปลงเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดได้นั่นเอง

ประเภทของสเต็มเซลล์ แบ่งตาม ‘คุณสมบัติในการแบ่งตัว’

หากแบ่งสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ตามคุณสมบัติการในแบ่งตัวนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ Hematopoietic Stem Cells (HSCs) และ Mesenchymal  Stem Cells (MSCs) ซึ่งทุกท่านสามารถวางแผนการเก็บสเต็มเซลล์เพื่อให้สามารถจัดเก็บกับลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอดได้ ซึ่งในการจัดเก็บเพียงครั้งเดียว จะสามารถเก็บเซลล์ประเภทใดได้บ้าง ไปดูกัน

Hematopoietic Stem Cells (HSCs)Mesenchymal  Stem Cells (MSCs)
เป็นสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ของระบบเลือด ที่มีคุณสมบัติในการพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่าง ๆ ในระบบเลือด รวมถึงสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ในกลุ่มเม็ดเลือดต่าง ๆ เช่น 
– เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cells)
– เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells)
– เกล็ดเลือด (Platelets)

โดยในการนำ Hematopoietic Stem Cells (HSCs) นี้ไปใช้นั้น เนื้อเยื่อจะต้องเข้ากันได้ระหว่างผู้ให้ (เจ้าของสเต็มเซลล์) และผู้รับ ซึ่งจะมีโอกาสถึง 1 ใน 4 ที่เนื้อเยื่อจะมีความเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับพี่ หรือน้องของเจ้าของสเต็มเซลล์
Mesenchymal  Stem Cells (MSCs) หรือสเต็มเซลล์ชนิดมีเซนไคม์ นั้นแบ่งออกเป็น
– MSC Cord Tissue Stem Cells
– MSC Amniotic Stem Cells
– MSC Adipose Stem Cells

ซึ่งสเต็มเซลล์ชนิดนี้มีคุณสมบัติในการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้มากมาย เช่น
– เนื้อเยื่อตับ (Liver Tissue)
– เนื้อเยื่อหัวใจ (Heart Tissue)
– เนื้อเยื่อประสาท (Nerve Tissue)
– เนื้อเยื่อกระดูก (Bone Tissue)
– เนื้อเยื่อกระดูกอ่อน (Cartilage Tissue)
– เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Muscle Tissue)
– เนื้อเยื่อไขมัน (Fat Tissue)

ซึ่งการเก็บสเต็มเซลล์ Mesenchymal  Stem Cells (MSCs) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์นั้น ควรใช้ Stem Cells ของตนเองหรือลูกน้อย เพื่อให้เซลล์ที่ได้รับมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการนำมาใช้ 

การเก็บ Stem Cell เก็บจากส่วนใดได้บ้าง

ในการเก็บสเต็มเซลล์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตนั้น จะสามารถเลือกจัดเก็บจากแหล่งต้นกำเนิดที่แตกต่างกันตามผู้รับประโยชน์ที่ต้องการนำไปใช้ในอนาคต และมีการเก็บสเต็มเซลล์ราคาที่แตกต่างกันไปด้วย

ซึ่งในการเลือกเก็บสเต็มเซลล์ลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอดนั้น สามารถเลือกเก็บจากส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้

บริเวณหรือแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดผู้ที่ได้รับประโยชน์จากสเต็มเซลล์
เนื้อเยื่อไขมัน Adipose Tissueตนเอง
เลือดสายสะดือ Cord Blood (CB) เนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT)เนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT)ลูกน้อย
เนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT)เนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT)ทุกคนในครอบครัว
ประโยชน์ของ Stem Cell

ประโยชน์ของ Stem Cell

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นเซลล์ที่มีความมหัศจรรย์ ดังที่เราได้กล่าวไปว่าสเต็มเซลล์นั้นเป็นเซลล์ที่สามารถพัฒนาและเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายของเราได้ นั่นจึงทำให้สเต็มเซลล์เป็นเซลล์ที่ถูกศึกษา วิจัย และนำไปใช้ประโยชน์มากมาย ดังนี้

✓ ใช้ในการรักษาและฟื้นฟูโรคต่าง ๆ ให้กับตัวคุณเอง ลูกน้อย และทุกคนในครอบครัว (ตามแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน)

✓ ใช้ในการฟื้นฟูความเสื่อม ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ และความงาม

✓ ใช้ในการทดลองเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา รวมถึงการรักษาแบบใหม่ เช่น ยีนบำบัด

ประโยชน์ในด้านของการฟื้นฟูและรักษาโรค

ด้วยวิทยาการและความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้ได้มีการเก็บสเต็มเซลล์และศึกษาถึงการนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูและรักษาโรคร้ายต่าง ๆ หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันชื่อสเต็มเซลล์บำบัด ซึ่งก็คือการใช้เซลล์มหัศจรรย์อย่างสเต็มเซลล์ที่มีความสามารถในการแบ่งตัวได้อยู่เสมอและแบ่งตัวได้อย่างไม่จำกัด อีกทั้งสามารถพัฒนาเป็นเซลล์อื่น ๆ อย่างเซลล์ผิวหนัง เซลล์เม็ดเลือด เซลล์เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์กระดูก และเซลล์ไขมัน ในการเข้าไปทดแทนเซลล์ที่สูญเสียหรือถูกทำลายไปจากอาการของโรคร้ายและความเสื่อมต่าง ๆ ให้กลับมาทำหน้าที่ภายในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

การนำ Stem Cell ไปใช้ในการฟื้นฟูและรักษาโรค

การเก็บสเต็มเซลล์ลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอดนั้นมีประโยชน์ในการนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูและรักษาโรคร้ายต่าง ๆ มากมาย เนื่องจากการเก็บสเต็มเซลล์คือการจัดเก็บเซลล์แห่งความหวัง เพื่อเป็นหลักประกันทางสุขภาพสำหรับลูกน้อย ตัวคุณเอง และทุกคนในครอบครัว 

ซึ่งการนำไปใช้ประโยชน์นั้นจะแตกต่างกันไปตามแหล่งต้นกำเนิดที่ได้ทำการเก็บ Stem Cell

แหล่งต้นกำเนิดที่ทำการเก็บสเต็มเซลล์ การนำไปใช้ประโยชน์
เลือดสายสะดือ Cord Blood (CB) การเก็บ Stem Cell จากเลือกสายสะดือมักถูกนำมาใช้ในการฟื้นฟูเซลล์เม็ดเลือดและระดับภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลาย โดยได้มีการศึกษาและพบว่ามีความสามารถในการฟื้นฟูโรคร้ายได้มากถึง 85 โรค จากกลุ่มโรคต่างๆ เหล่านี้
– กลุ่มโรคมะเร็งเม็ดเลือดทุกชนิดกลุ่มโรคไขกระดูกผิดปกติ
– กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องกลุ่มโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง
– กลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเผาผลาญอาหาร
เนื้อเยื่อสายสะดือ Cord Tissue (CT)การเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือมักถูกนำมาใช้กับผู้ใหญ่เพื่อนำไปฟื้นฟูโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อม เนื่องจากมีความสามารถในการแบ่งตัวไปเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ไขมัน กระดูก หรือกระดูกอ่อนได้ 

ซึ่งตัวอย่างโรคที่มีการศึกษานำสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อสายสะดือมาใช้ในการฟื้นฟู ได้แก่
– โรคข้อเข่าอักเสบ (Osteoarthritis)
– โรคหลอดเลือดขาอุดตัน (Critical Limb Ischemia)
– ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Respiratory Distress Syndrome)
– ภาวะสเต็มเซลล์ของผู้ให้ต่อต้านร่างกายผู้ป่วยภายหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ (Graft Versus Host Disease)
– โรคลำไส้อักเสบโครนส์ (Crohn’s Disease)
– โรคเบาหวาน (Diabetes)
– โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Multiple Sclerosis)
เนื้อเยื่อหุ้มรก Amnion Tissue (AT)สเต็มเซลล์ (Stem Cell) จากเนื้อเยื่อหุ้มรกสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์กระดูก กระดูกอ่อน และเซลล์ไขมันได้ อีกทั้งยังมีความพิเศษที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์เนื้อเยื่อได้หลายชนิด ทำให้มีการศึกษาและพบว่าการนำสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อหุ้มรกมาใช้จะส่งผลลัพธ์ที่ดีในการใช้ฟื้นฟูโรคทางระบบประสาทและสมอง 

ซึ่งตัวอย่างโรคที่มีการศึกษานำสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อหุ้มรกมาใช้ในการฟื้นฟู ได้แก่
– โรคอัมพาตการบาดเจ็บที่คอและไขสันหลัง
– โรคพาร์กินสันโรคอัลไซเมอร์ 
เนื้อเยื่อไขมัน Adipose Tissue (ADSC)สเต็มเซลล์ (Stem Cell) จากเนื้อเยื่อไขมัน มีความสามารถในการฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพจากโรคแพ้ภูมิตัวเอง และข้อเข่าเสื่อม รวมไปจนถึงฟื้นฟูร่างกายจากความอ่อนล้าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ซึ่งตัวอย่างโรคที่มีการศึกษานำสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันมาใช้ในการฟื้นฟู ได้แก่
– โรคแพ้ภูมิตัวเอง
– ฟื้นฟูข้อเข่าและข้อต่อเสื่อมจากการที่น้ำในข้อเข่าน้อยจนมีสภาวะข้อเข่าอักเสบ
– ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายจากความเสื่อมต่างๆ 
– ฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า เป็นต้น
ประโยชน์ของสเต็มเซลล์หน้าใส

ประโยชน์ในด้านของผิวพรรณและความงาม

นอกจากนี้ การเก็บสเต็มเซลล์ยังมีประโยชน์ในเรื่องของผิวพรรณและความงามอีกด้วย โดยการเก็บสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อผิวพรรณและความงามนั้น จะเป็นการจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมัน Adipose Tissue ที่จะมีความสามารถในการฟื้นฟูความเสื่อมต่าง ๆ และทำการฉีดเข้าสู่ร่างกายโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันเข้าไปฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพ และเติมเต็มส่วนที่ขาดบนร่างกาย รวมถึงใบหน้าของผู้ที่เข้ารับการฉีดสเต็มเซลล์นั่นเอง

ซึ่งในการเก็บ Stem Cell จากเนื้อเยื่อไขมันเพื่อนำมาใช้ในการฟื้นฟูผิวพรรณและความงามนั้น หากเป็นคุณเเม่ที่ตั้งครรภ์นั้นจะสามารถเก็บได้ทันทีหลังคลอดพร้อมกับการเก็บสเต็มเซลล์ลูกน้อยหรือเวลาใดก็ได้ที่ต้องการ และหากเป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ก็สามารถจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันเพื่อใช้ในการฟื้นฟูผิวพรรณและความงามได้เช่นเดียวกัน โดยสเต็มเซลล์จากไขมันนั้นจะเป็นการเก็บเพียงครั้งเดียวแต่นำมาใช้ได้หลายครั้งและจะสามารถใช้ได้กับเจ้าของสเต็มเซลล์เท่านั้น 

การเก็บ Stem Cell ช่วยเรื่องผิวพรรณและความงามได้อย่างไร ?

เมื่อทำสเต็มเซลล์หน้าใสจากเนื้อเยื่อไขมันที่ได้ทำการจัดเก็บโดยธนาคารสเต็มที่มีมาตรฐานเข้าสู่ผิวหน้าหรือส่วนที่ต้องการฟื้นฟูแล้ว เซลล์เหล่านั้นจะพัฒนาไปเป็นเซลล์ใต้ชั้นผิวหนังและทดแทนเซลล์เดิมที่เสื่อมสภาพ ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูผิวพรรณและความงามในส่วนต่าง ๆ ได้ ดังนี้

  • ซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ 
  • เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
  • เพิ่มเซลล์ไฟโบรบลาสต์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจนและอิลาสตินให้กับผิวหนัง จึงเกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและไม่หยาบกระด้าง

ข้อควรระวังก่อนการเก็บสเต็มเซลล์และฉีดสเต็มเซลล์เพื่อผิวพรรณและความงาม

  • เนื่องจากการเก็บสเต็มเซลล์คือการดำเนินการที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องมีการดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • ก่อนการเข้ารับการฉีดสเต็มเซลล์จะต้องแจ้งประวัติการแพ้อาหารหรือแพ้ยาให้ครบถ้วน
  • ก่อนการเข้ารับการฉีดสเต็มเซลล์ประมาณ 3 วัน จะต้องลดของมันและของทอด 
  • ก่อนและหลังจากการเข้ารับการฉีดสเต็มเซลล์เพื่อผิวพรรณและความงามประมาณ 2 สัปดาห์ จะต้องหลีกเลี่ยงการทำหัตถการต่าง ๆ เช่น การผ่าตัด การดูดไขมัน การฉีดฟิลเลอร์ เป็นต้น
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ดูแลอย่างเคร่งครัด

เพราะการเก็บสเต็มเซลล์คือหลักประกันทางสุขภาพในอนาคตสำหรับลูกน้อย ตัวคุณเอง และทุกคนในครอบครัว…วางแผนการเก็บสเต็มเซลล์ลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอดกับธนาคารสเต็มเซลล์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล “ดูแล วางแผน และดำเนินการเก็บสเต็มเซลล์” โดยห้องปฏิบัติการที่มีการรับรองระดับโลกได้แล้ววันนี้ ที่ Cryoviva! 


See other

“ไครโอวิวา ธนาคารจัดเก็บสเต็มเซลล์
ผู้นำนวัตกรรมมาตรฐานระดับสากล
อยู่เคียงข้างคุณภาพชีวิตของทุกคนในครอบครัว”

ติดต่อผู้เชี่ยวชาญและรับสิทธิพิเศษจากไครโอวิวา



    มีความสนใจบริการด้านไหนของไครโอวิวาเป็นพิเศษหรือไม่?

    This site is registered on wpml.org as a development site. Switch to a production site key to remove this banner.